Ethernet vs. Wi-Fi : อะไรดีกว่ากัน? ตอนที่1
2021.08.05
Ethernet vs. Wi-Fi : อะไรดีกว่ากัน? ตอนที่1
อีเทอร์เน็ต(Ethernet) ช่วยให้คุณมีความเร็วที่ดีขึ้น latency ที่ต่ำกว่า และการเชื่อมต่อที่เสถียรมากกว่า ทว่า Wi-Fi สะดวกกว่าสำหรับอุปกรณ์พกพา แต่มีแนวโน้มที่จะถูกรบกวนคลื่นสัญญาณ Wi-Fi ได้ง่าย การตัดสินใจว่าอันไหนดีกว่านั้นขึ้นอยู่กับการใช้งานของคุณ บทความนี้จะมาช่วยคุณตัดสินใจ
ความแตกต่างระหว่างการเชื่อมต่อ Wi-Fi และอีเธอร์เน็ตคืออะไร
การเชื่อมต่อ Wi-Fi เป็นสิ่งที่พวกเราส่วนใหญ่ใช้เป็นประจำที่บ้าน Wi-Fi ใช้เราเตอร์เพื่อส่งสัญญาณไร้สายในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ของคุณ การเชื่อมต่ออีเทอร์เน็ต (หรือการเชื่อมต่อสายแลนที่เราเรียกกัน) ใช้สายอีเทอร์เน็ต (Cat 5, Cat 5e. เป็นต้น) ที่เสียบเข้ากับอุปกรณ์ของคุณเพื่อเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
การเชื่อมต่ออีเทอร์เน็ต (Ethernet) นั้นเร็วกว่า เพราะคุณต่อสายเพื่อรับอินเทอร์เน็ต (Internet) โดยตรง การรับส่งข้อมูลของคุณไม่จำเป็นต้องส่งผ่านสัญญาณไร้สายไปยังหรือจากอุปกรณ์ของคุณ ซึ่งจะช่วยลด latency ในการส่งสัญญาณและให้ความเร็วที่ดีเร็วขึ้น
ทั้งการเชื่อมต่ออีเทอร์เน็ตและ Wi-Fi ต่างมีข้อดีของตัวเอง ซึ่งเราจะอธิบายไว้ด้านล่าง
เหตุผลที่ดีที่สุดในการใช้การเชื่อมต่ออีเทอร์เน็ต (Ethernet)
1.เพื่อลดค่า ping ขณะเล่นเกมส์ออนไลน์: ต้องการเล่น FIFA, Fortnite หรือ Call of Duty แต่ไม่รู้ว่าควรเลือก Wi-Fi หรือ Ethernet ค่า Ping หรือ latency คือจำนวนการหน่วงเวลาระหว่างการส่งคำสั่ง และการตอบสนองของเกม เรากำลังพูดถึงมิลลิวินาที มิลลิวินาทีอาจเป็นตัวกำหนดสำคัญในบางเกม ในทางกลับกัน หากคุณเพียงแค่สตรีมวิดีโอ ฟังเพลง หรือท่องเว็บ เวลาในการตอบสนองอาจไม่สำคัญมากนัก
2.ถ้าใช้งาน Desktop PC : อาจะเบื่อหน่ายที่ต้องลากสายแลนเพื่อไปเชื่อมต่ออุปกรณ์ไอทีที่ย้ายที่บ่อยๆ ทว่า Desktop PC มักจะตั้งประจำที่ และมีแหล่งจ่ายไฟที่เยอะเพื่อรองรับงานที่ต้องการอินเตอร์เน็ตแรงๆ
3.หากแชร์ไฟล์ขนาดใหญ่: การแชร์ไฟล์ขนาดใหญ่จำเป็นต้องมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่เร็วกว่า และการสตรีมก็ต้องการการเชื่อมต่อที่เสถียรเพื่อลดการบัฟเฟอร์ ซึ่งการเชื่อมต่ออีเทอร์เน็ต (Ethernet) มีแนวโน้มมากกว่า
4.หากมีอุปกรณ์หลายเครื่องที่สำรองข้อมูลไปยัง NAS, เซิร์ฟเวอร์สำรอง หรือแชร์ฮาร์ดไดรฟ์: ข้อมูลจะเดินทางเร็วกว่าผ่านอีเทอร์เน็ตและส่งผลต่อความเร็วระหว่างอุปกรณ์ในเครือข่าย
5.หากมีอุปกรณ์ที่สตรีมจาก Media Server บนเครือข่าย (เช่น Plex หรือ Kodi): การเชื่อมต่ออีเทอร์เน็ตจะช่วยเพิ่มคุณภาพการสตรีมได้อย่างมาก
เหตุผลที่ดีที่สุดในการใช้การเชื่อมต่อ Wi-Fi
1.หากบ้านไปด้วยอุปกรณ์ไร้สาย: อุปกรณ์ต้องมีพอร์ตอีเทอร์เน็ตจึงจะสามารถเสียบสายอีเทอร์เน็ตได้ ตัดสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และอุปกรณ์ IoT และแล็ปท็อปส่วนใหญ่ออกไปได้เลยเว้นแต่ว่าจะได้รับอะแดปเตอร์ การเชื่อมต่อไร้สายช่วยให้เชื่อมต่ออุปกรณ์ได้มากเท่าที่ต้องการ
2.หากต้องการสัญญาณทุกที่ในบ้าน: การเชื่อมต่อ Wi-Fi อาจไม่เสถียรเสมอไป ทว่าสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ในบ้าน ลำโพง Wi-Fi ในสวน เสร็จแล้ว สามารถใช้แล็ปท็อปในห้องใดก็ได้ หรือให้แขกสามารถเชื่อมต่อกับ Wi-Fi ของคุณได้
3.หากเจ้าของบ้านเช่าไม่ยอมให้คุณเดินสายเคเบิล: การเชื่อมต่ออุปกรณ์ทั้งหมดของคุณกับสายอีเทอร์เน็ตอาจเป็นฝันร้าย มันจะยากลำบากในการเดินสายในที่ที่ผู้คนจะไม่สะดุด และงานน่ารำคาญในการพยายามดึงสายเคเบิลระหว่างชั้น และจากนั้นก็มีความเป็นไปได้ที่เจ้าของบ้านจะไม่อนุญาต ด้วยเหตุผลหลายประการ
อีเธอร์เน็ตเร็วกว่า Wi-Fi หรือไม่?
– การเชื่อมต่ออีเทอร์เน็ตให้ความเร็วในการดาวน์โหลด 600Mbps และความเร็วในการอัพโหลด 300Mbps
– การเชื่อมต่อ Wi-Fi ให้ความเร็วในการดาวน์โหลดเฉลี่ย 200Mbps และความเร็วในการอัพโหลด 150Mbps
– ความเร็ว Wi-Fi ที่บ้านโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 120-250 Mbps ซึ่งถือเป็น “บรอดแบนด์ที่รวดเร็ว”
– บรอดแบนด์ที่เร็วมากจะให้ความเร็วเฉลี่ย 600Mbps ซึ่งเทียบได้กับการเชื่อมต่ออีเธอร์เน็ตทั้งหมด
ที่มา : Ethernet vs. WiFi: Which One is Better? | NordVPN
บทความที่เกี่ยวข้อง
ข่าว
ความปลอดภัย
Oracle แจ้งลูกค้าหลังเกิดเหตุ Data Breach ทำให้ข้อมูลหลุดจากระบบ Cloud
Oracle แจ้งลูกค้าหลังเกิดเหตุ Data Breach ทำให้ข้อมูลหลุดจากระบบ Cloud
2025.04.10
ข่าว
ความปลอดภัย
มัลแวร์มือถือที่กำหนดเป้าหมายธนาคารในอินเดียทำให้ผู้ใช้กว่า 50,000 รายเสี่ยงต่อการถูกโจมตี
การโจมตีอุปกรณ์เคลื่อนที่ขนาดใหญ่ นักวิจัยของ zLabs วิเคราะห์ตัวอย่างมัลแวร์เกือบ 900 ตัวอย่างและพบความพยายามร่วมกันในการใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์ Android มัลแวร์ซึ่งจัดอยู่ในประเภทโทรจันของธนาคาร ปลอมตัวเป็นแอปธนาคารหรือแอปของรัฐบาลที่ถูกกฎหมายและแพร่กระจายผ่าน WhatsApp ในรูปแบบไฟล์ APK เมื่อติดตั้งแล้ว มัลแวร์จะขอข้อมูลที่ละเอียดอ่อน
2025.03.14
ข่าว
ความปลอดภัย
แฮกเกอร์ชาวเกาหลีเหนือตั้งเป้านักพัฒนาอิสระเพื่อหลอกลวงการทำงานด้วยมัลแวร์
นักพัฒนาซอฟต์แวร์อิสระเป็นเป้าหมายของแคมเปญต่อเนื่องที่ใช้การล่อใจที่เกี่ยวข้องกับการสัมภาษณ์งานเพื่อส่งมอบมัลแวร์ข้ามแพลตฟอร์มที่รู้จักกันในชื่อ BeaverTail และ InvisibleFerret กิจกรรมดังกล่าวซึ่งเชื่อมโยงกับเกาหลีเหนือมีชื่อรหัสว่า DeceptiveDevelopment ซึ่งทับซ้อนกับคลัสเตอร์ที่ติดตามภายใต้ชื่อContagious Interview (หรือCL-STA-0240 ), DEV#POPPER, Famous Chollima, PurpleBravo และ Tenacious Pungsan แคมเปญนี้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปลายปี 2023 เป็นอย่างน้อย บริษัทด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ESET กล่าวในรายงานที่แบ่งปันกับ The Hacker News ว่า"DeceptiveDevelopment กำหนดเป้าหมายนักพัฒนาซอฟต์แวร์อิสระผ่านการฟิชชิ่งแบบเจาะจงบนเว็บไซต์หางานและฟรีแลนซ์ โดยมีเป้าหมายเพื่อขโมยกระเป๋าสตางค์สกุลเงินดิจิทัลและข้อมูลการเข้าสู่ระบบจากเบราว์เซอร์และตัวจัดการรหัสผ่าน"
2025.02.21