รู้ทันกลลวงมิจฉาชีพ 2567 ใช้ AI ก่ออาชญากรรมออนไลน์ เช็กก่อนตกเป็นเหยื่อ
2024.01.16
รู้ทันกลลวงมิจฉาชีพ 2567 ใช้ AI ก่ออาชญากรรมออนไลน์ เช็กก่อนตกเป็นเหยื่อ
ผู้เชี่ยวชาญเตือนกลลวงมิจฉาชีพใช้เทคโนโลยี AI ก่ออาชญากรรมออนไลน์ พร้อมแนะข้อปฏิบัติเบื้องต้น เช็กอย่างไรไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ
จากกรณีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยสถิติการรับแจ้งความออนไลน์คดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ผ่านมาพบว่า รูปแบบคดีที่มีจำนวนการแจ้งความมากที่สุดอันดับ 1 ยังคงเป็น “การหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการทางออนไลน์” มีจำนวนกว่า 150,000 คดี ส่วนรูปแบบคดีที่มีความเสียหายรวมสูงที่สุด อันดับ 1 คือ “หลอกให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์” มีความเสียหายรวมกว่า 16,000 ล้านบาท สำหรับคดีในรูปแบบอื่นๆ อาทิ การหลอกให้โอนเงิน การหลอกให้กู้เงิน และการข่มขู่ทางโทรศัพท์ ก็ยังคงรูปแบบคดีที่มีผู้เสียหายและสร้างความเสียหายในอันดับต้นๆ เช่นเดียวกัน
รวมทั้งยังเตือนประชาชนระมัดระวังการที่คนร้ายนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) มาใช้ในการสร้างเนื้อหาปลอมขึ้นมาเพื่อใช้ในการฉ้อโกง หรือสร้างความเสียหาย โดยการนำ AI มาใช้สร้างภาพหรือคลิปปลอม เพื่อนำมาแสวงหาประโยชน์ต่างๆ
จากการสอบถาม คุณเอ-วรวิสุทธิ์ ภิญโญยาง Co-founder ของ ImpactMind AI และ The Insiderly AI เปิดเผยว่า เทคโนโลยี AI สามารถสร้างได้ทั้งภาพและเสียง เริ่มตั้งแต่ 1. สร้างแอ็กเคานต์ปลอม โดยมิจฉาชีพจะใช้ AI ทำระบบออโตเมติก เช่น สร้างรูปขึ้นมาทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว แบ็กกราวน์ แอ็กชันต่างๆ เหมือนกับคนที่ออกไปใช้ชีวิตจริงๆแต่จะมีพิรุธบางอย่าง เช่น แอ็กเคานต์ดังกล่าวจะมีเพื่อนน้อย ชื่อเพื่อนจะมีความแปลก ไม่สมจริง รูปภาพกับชื่อจะไม่สอดคล้องกัน แต่ในอนาคตอาจจะอัปเกรดให้มีความสมจริงมากยิ่งขึ้น หรือบางโพสต์มีคนมากดไลค์เยอะทั้งที่มีเพื่อนน้อย ซึ่งจุดเหล่านี้จะต้องใช้สัญชาตญาณในการดู ปัจจุบันมีคนโดนหลอกเยอะมาก และหากเรารับแอ็กเคานต์มิจฉาชีพเป็นเพื่อน แอ็กเคานต์เหล่านี้ก็จะไปยังเพื่อนคนอื่นๆ จากนั้นก็จะทักมาขอยืมเงิน
2. AI Voice Cloning เลียนแบบเสียง วิธีนี้เมื่อมิจฉาชีพได้ไฟล์เสียงก็จะทำการโคลน เดิมทีถ้าเป็นเสียงพูดภาษาอังกฤษ เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา จะต้องใช้ไฟล์ที่มีความยาวเสียงยาวประมาณ 1 ชั่วโมง พอมาช่วงกลางปีจะใช้ไฟล์ประมาณ 30 นาทีก็โคลนเสียงได้แล้ว ปัจจุบันคาดว่าใช้แค่ไฟล์เสียงยาว 5 นาทีก็โคลนเสียงได้แล้ว
สำหรับเสียงภาษาไทยจะมีความซับซ้อน ซึ่งตอนนี้มีเทคโนโลยีที่ทำได้แล้ว ซึ่งจริงๆแล้วเราก็ยังไม่รู้ว่าเทคโนโลยีที่มิจฉาชีพใช้นั้นมีการพัฒนาไปมากน้อยเพียงได้จากที่เราเห็นในปัจจุบัน แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานแต่ถ้าดูจากการมิจฉาชีพหลอกเหยื่อแต่ละครั้งก็ได้เงินไปเป็นหลักล้าน ดังนั้นการที่จะลงทุนพัฒนาหรือซื้อแพลตฟอร์มดีๆ มาใช้หลอกเหยื่อก็อาจจะเป็นไปได้ และจากข้อมูลผู้เสียหายจากอาชญากรรมออนไลน์มีประมาณ 3 แสนกว่าเคส มูลค่าความเสียหายกว่า 5 หมื่นกว่าล้าน ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการลงทุนร้อยล้านเพื่อให้ได้เงินมากกว่านั้นจึงเป็นไปได้ และเป็นการทำเป็นขบวนการ
ในส่วนของเสียงภาษาไทย หากเป็นบุคคลสาธารณะก็จะง่ายมาก เนื่องจากสามารถหาไฟล์เสียงตามโซเชียลมีเดียต่างๆ ซึ่งมิจฉาชีพจะมีโปรแกรมคลีนเสียงรบกวนออก เช่น เสียงรถ เสียงสุนัข ให้เหลือแต่เสียงคนพูดซึ่งจะมีความชัดเจน แต่การจะโคลนเสียงให้ได้ 100% จะต้องใช้ความยาวเสียงประมาณหนึ่ง แต่การหลอกลวงนั้นไม่จำเป็นต้องใช้เสียงที่เหมือน 100% ก็ได้ เพราะอาจจะเป็นคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ไม่รู้ว่าเสียงของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร และแม้ว่าจะเป็นคนรู้จักกัน มิจฉาชีพอาจจะอ้างว่า เป็นหวัด ทำให้เสียงเปลี่ยน หรือหาข้ออ้างอื่นๆ
เมื่อถามถึงวิธีการป้องกันไม่ให้โดน Voice Cloning ส่วนตัวคิดว่าไม่มีวิธีป้องกัน ตราบใดที่เรายังมีเสียงพูดของเราในโซเชียล แต่คาดว่ามิจฉาชีพคงจะเลือกเหยื่อ เช่น คนดัง นักธุรกิจ
3. ใช้โปรมแกรมปลอมเบอร์ วิธีนี้มิจฉาชีพจะใช้โปรแกรมปลอมเป็นเบอร์เพื่อนของเราโทร. เข้ามา ซึ่งหน้าจอจะแสดงหมายเลขของเพื่อน แต่ข้อสังเกตคือ เบอร์เหล่านี้จะโทร. เข้ามาได้อย่างเดียว เราไม่สามารถโทร. กลับได้ บางครั้งก็โทร. ไม่ติด ซึ่งมีเคสของคนใกล้ตัวมาเล่าว่า มีเบอร์โทรเข้ามา เสียงคือเพื่อน แต่เมื่อไปถามเจ้าตัว ซึ่งเป็นตัวจริงกลับไม่รู้เรื่อง
สำหรับข้อปฏิบัติตัวที่แนะนำคือ อาจจะสร้างรหัสลับขึ้นมาในครอบครัว เช่น มีเบอร์แม่โทร. เข้ามา กดรับสายแล้วเป็นเสียงแม่โทร. มาบอกว่ามีเรื่องเดือดร้อนต้องการใช้เงิน ก็อาจจะถามรหัสลับที่รู้กันสองคนว่า เรียนโรงเรียนอะไร ของที่ชอบกินคืออะไร ซึ่งเรื่องนี้มิจฉาชีพจะไม่รู้
4. AI Deepfakes มิจฉาชีพสามารถสร้างตัวตนปลอมขึ้นมาตอบโต้วิดีโอคอลได้จนเหยื่อหลงเชื่อ ซึ่งปัจจุบันมีคนตกเป็นเหยื่อแล้ว โดยมิจฉาชีพจะนำภาพต้นแบบ 1 ภาพ หรือหลายๆ ภาพมาเข้าโปรแกรม ซึ่งอาจไปเซฟรูปภาพจากแพลตฟอร์มโซเชียลต่างๆ เมื่อคุยกับเหยื่อหากภาพไม่ชัดก็ยังมีข้ออ้างอื่นมากลบเหลื่อน เช่น สัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่ดี จนคนมองข้ามได้
5. WiFi ปลอมขโมยข้อมูล ยกตัวอย่างกรณีของคุณหมอรายหนึ่ง ที่ไปห้างดังแล้วไปเชื่อมต่อ WiFi Hotspot ที่ตั้งชื่อเลียนแบบห้างดัง เมื่อเชื่อมต่อแล้วมิจฉาชีพก็จะส่งโค้ดบางอย่างเข้ามา จากนั้นจะติดตั้งโปรแกรมที่ใช้ควบคุมโทรศัพท์ของเหยื่อ ทั้งยังรวดเร็วจนเหยื่อไม่รู้ตัว
คุณเอ-วรวิสุทธิ์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันยังไม่มีแอปพลิเคชันที่สามารถปิดกั้นหรือป้องกันเทคโนโลยีของมิจฉาชีพได้ขนาดนั้น ซึ่งเบื้องต้นจะมี Whocall ที่ช่วยเช็กว่าใครโทร. มา, โปรแกรม VPN เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้อย่างปลอดภัย รวมไปถึงซอฟต์แวร์ที่เป็น DNS คัดกรองเว็บไซต์ที่ปลอดภัยกับผู้ใช้
สำหรับผู้ที่ใช้ iPhone ล่าสุดทาง Apple ได้ปล่อย iOS 17.2 สำหรับป้องกันปัญหาด้านความปลอดภัยดังกล่าว หรือเข้าไปตั้งค่าโหมดความปลอดภัยซึ่งหลายคนยังไม่รู้ คือ lockdown mode เมื่อตั้งค่าแล้วระบบจะตัดการเชื่อมต่อ WiFi แบบอัตโนมัติ, บล็อกเว็บไซต์ที่น่าสงสัย จะมีความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น.
Reference : https://www.thairath.co.th/news/society/2749252
ขอบคุณครับ
บริษัท a2network (Thailand ) จำกัด
ติดต่อ : 02-261-3020
บทความที่เกี่ยวข้อง
กรณีศึกษา
ข่าว
ความปลอดภัย
พบสปายแวร์ “Mandrake” เวอร์ชันใหม่บนแอป Android บน Google Play
พบสปายแวร์ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ “Mandrake” เวอร์ชันใหม่ในแอปพลิเคชัน 5 รายการ ที่มีการดาวน์โหลดจาก Google Play ไปแล้วกว่า 32,000 ครั้ง
2024.07.31
กฎหมาย
กรณีศึกษา
ข่าว
Google เตรียมลบบันทึกการท่องเว็บนับพันล้านรายการ ตามข้อตกลงยุติคดีความเป็นส่วนตัว ‘โหมดไม่ระบุตัวตน’
Google ได้ตกลงที่จะล้างบันทึกข้อมูลนับพันล้านรายการ ที่แสดงกิจกรรมการท่องเว็บไซต์ของผู้ใช้งาน เพื่อยุติคดีที่ถูกฟ้องร้องว่า Google ได้ทำการติดตามกิจกรรมของพวกเขา
2024.04.23
กรณีศึกษา
ข่าว
ความปลอดภัย
Top 10 Brands ที่ถูกแอบอ้างมากที่สุด เพื่อใช้ในการหลอกลวงแบบฟิชชิ่ง ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2024
โดยรายชื่อแบรนด์ 10 อันดับแรก ที่ถูกแอบอ้างเพื่อใช้ในการหลอกลวงแบบฟิชชิ่ง ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2024 ได้แก่
2024.04.18